กรณีของ เจ๊แก้ว แม่ค้าขายส่งทุเรียนชื่อดังวัย 43 ปี ในตลาดโพธิ์หวาย เขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ได้หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 พฤษภาคม ขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน ครอบครัวไม่สามารถติดต่อเธอได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงแจ้งความกับตำรวจให้ช่วยตามหา
เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ พบว่าเจ๊แก้วขี่รถออกจากตลาดเพียงลำพัง ไม่มีผู้โดยสารหรือใครประกบติดตาม โดยขับรถไปตามถนนตลาดล่าง ก่อนจะเลี้ยวขึ้นถนนอำเภอ ถือเป็นข้อมูลสำคัญในการติดตามตัว
เบื้องต้นการสอบปากคำจากลูกสาวของเจ๊แก้ว ให้ข้อมูลว่าแม่อาจน้อยใจสามี ที่ทำงานไม่มีวันหยุดและแสดงพฤติกรรมไม่ไว้ใจ ด้วยการติดกล้องวงจรปิดในร้านเหมือนคอยจับผิด แม้จะไม่มีเหตุทะเลาะรุนแรง แต่ปัญหาสะสมในครอบครัวอาจเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้เจ๊แก้วตัดสินใจหายตัวไปเอง
ทั้งนี้ สามีเจ๊แก้ว ได้เปิดใจบอกว่า หลังแน่ชัดแล้วว่า ภรรยา หายตัวไป ก็ได้มาตรวจสอบที่แผงทุเรียน พบว่า เจ๊แก้วได้ทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ในลิ้นชักโต๊ะบัญชี ทั้ง 2 เครื่อง ส่วนทองรูปพรรณไม่มีทิ้งไว้ พร้อมยอมรับว่า ก่อนที่ เจ๊แก้ว หายตัวไปได้มีปากเสียงกันเล็กน้อย เรื่องที่ตนเองสั่งกล้องวงจรปิดมาติดที่บ้านและที่แผงทุเรียน ทำให้ ภรรยา ไม่พอใจ-รู้สึกอึดอัด ซึ่งตนเองก็บอกว่าให้เอาออก
จากนั้น เจ๊แก้ว ก็ตัดสัญญาณตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันเกิดเหตุ ขณะเดียวกัน เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ก็เคยมีปัญหาเรื่องชู้สาวกับเจ๊แก้วและมีปากเสียงกัน ครั้งนั้นเจ๊แก้วก็หายไปจากบ้านประมาณ 10 วัน ก่อนกลับมา แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีปัญหารุนแรงถึงขั้นทำให้ เจ๊แก้ว ต้องออกจากบ้าน แต่หากน้อยใจและออกไป ก็ให้กลับมาคืนดีกัน แต่หากเป็นการชิงทรัพย์ ขอให้โจรเอาทองไป และ คืนภรรยากลับมา
ทั้งนี้ จากแนวทางการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ตำรวจไปพบว่าหลัง เจ๊แก้ว เสร็จงานที่ตลาดโพธิ์หวาย ได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปจากร้านทุเรียน จากนั้น ได้ขับผ่าน สามแยก มุ่งหน้าไปยังวัดพัฒนาราม ต.ตลาด อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งไม่ใช่ทางกลับบ้าน
โดยเส้นทางการกลับบ้านปกติแล้ว ต้องเลี้ยวเข้าบริเวณถนนร่มเกล้า เพื่อมุ่งหน้าไปยังซอยตลาดล่าง 25 ซึ่งเป็นบ้าน ทั้งนี้ ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ยังไม่ตัดประเด็นปัญหาในครอบครัว และได้แจ้งให้สายตรวจ เข้าค้นหาและตรวจสอบภายในโรงแรม รีสอร์ท ห้องพักต่างๆ ในพื้นที่รับผิดชอบอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้พบคนและยานพาหนะตามที่ถูกระบุไว้ข้างต้น
