
ข้อมูลจาก โบราณนานมา ให้รายละเอียดไว้ดังนี้…
“ปราสาทตาเมือนธม ” ขึ้นทะเบียนก่อนที่ “ประเทศกัมพูชา ” จะเป็นเอกราชเสียอีก
“ปราสาทตาเมือนธม” ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถาน ของไทยตั้งแต่ปี ๒๔๗๘ (1935)
“ปราสาทตาเมือนธม” อยู่ฝั่งไทย โดยกรมศิลปากรทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ (ค.ศ. 1935) หรือเมื่อ ๙๐ ปีที่แล้ว และปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี
ที่ผ่านมากรมศิลปากรได้บูรณะ โดยทางการกัมพูชารับรู้มาตลอด อีกทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังได้สร้างเส้นทางเที่ยวชมสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย อย่างไรก็ตามหากกัมพูชาอ้างสิทธิการถือครองพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมจริง ไทยต้องยืนยันว่าพื้นที่ชายแดนจุดนี้เป็นของเรา โดยใช้แผนที่ตามหลักสากล ซึ่งแบ่งพื้นที่ตามหลักสันปันน้ำ
ดังนั้น กัมพูชารับรู้มาตลอด แต่ตีเนียน คิดแต่จะสร้างสถานการณ์ ปลุกระดมคนกัมพูชา ที่ชักจูงได้ง่าย โดยไม่ใช้สติและปัญญาไตร่ตรองถึงข้อเท็จจริงก่อน ให้ดำเนินไปเหมือนกรณี “ปราสาทพระวิหาร”

“ประเทศกัมพูชา” ได้รับเอกราชในจากฝรั่งเศส เป็นประเทศเอกราช ปี ๒๔๙๖ (1953) และเป็นที่ยอมรับจากสหประชาชาติ ปี ๒๔๙๘ (1955)
“ประเทศกัมพูชา” ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) ภายหลังจากเป็นอาณานิคมมานานหลายสิบปี และได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศเอกราชอย่างเป็นทางการจากองค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ (ค.ศ. 1955)
ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ “ปราสาทตาเมือนธม” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยไปแล้วกว่า ๒๐ ปี
จึงเห็นได้ว่า การขึ้นทะเบียน “ปราสาทตาเมือนธม” เป็นโบราณสถานของไทยเกิดขึ้นก่อนที่ “ประเทศกัมพูชา” จะมีสถานะเป็นรัฐเอกราชในปัจจุบัน และสะท้อนถึงความต่อเนื่องของการดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่ดังกล่าวภายใต้การปกครองของไทยมาอย่างยาวนาน