
แม้จะเป็นผักที่คุ้นเคยในทุกมื้ออาหารของชาวไทย แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ถึงประโยชน์อันน่าทึ่งของผักชนิดนี้
ผักบุ้งเป็นผักใบเขียวที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ผักบุ้งมีรสหวาน เย็น จัดอยู่ในกลุ่มที่ส่งผลต่อระบบลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร โดยมีสรรพคุณหลักในการช่วยลดความร้อนในเลือด ขับพิษ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย และช่วยลดอาการร้อนใน
แม้จะเป็นผักที่พบได้บ่อยในอาหารไทย แต่อันที่จริงแล้ว มีชาวไทยเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงคุณประโยชน์อันยอดเยี่ยมของผักชนิดนี้ต่อสุขภาพ
ประโยชน์ของผักบุ้ง
-
ช่วยห้ามเลือด
ในทางคลินิก ผักบุ้งมักถูกใช้เพื่อบรรเทาอาการเลือดออก เช่น ถ่ายเป็นเลือด ปัสสาวะมีเลือด หรือเลือดกำเดาไหล โดยใช้ผักบุ้ง 60–120 กรัม ต้มดื่ม สามารถผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายขาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการห้ามเลือด -
บรรเทาอาการผื่นผิวหนัง (โรคผิวหนังอักเสบ)
ในฤดูร้อนที่อากาศร้อนชื้น ผิวหนังมักระคายเคืองหรือเกิดผื่นคัน เช่น โรคผิวหนังอักเสบ สามารถนำผักบุ้งมาตำละเอียดแล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการคัน -
ป้องกันท้องผูก ลดน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด
ผักบุ้งมีใยอาหารสูงกว่าผักใบเขียวทั่วไป โดยมีใยอาหารถึง 1.9–3.1 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ป้องกันท้องผูก และส่งเสริมสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ -
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินอาหาร
ผักบุ้งอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามิน B12 โพแทสเซียม แคลเซียม ฯลฯ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลำไส้ให้แข็งแรงขึ้น -
ช่วยบำรุงสายตา
ผักบุ้งมีเบตาแคโรทีนสูงถึง 1520 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ช่วยปกป้องดวงตาและผิวหนังจากมลภาวะต่าง ๆ -
แหล่งวิตามินซีชั้นดี
ผักบุ้งมีวิตามินซีสูงถึง 25 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม สูงกว่ามะเขือเทศ จึงเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดีเยี่ยมสำหรับร่างกาย -
แหล่งแคลเซียมจากธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม
ผักบุ้งมีแคลเซียมสูงถึง 115 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งมากกว่านมวัวที่มีประมาณ 107 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเสริมแคลเซียมจากธรรมชาติ
2 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผักบุ้ง
1. ผักบุ้งทำให้เป็นตะคริว?
ผักบุ้งและผักใบเขียวบางชนิด เช่น ผักโขม มีกรดออกซาลิกในปริมาณสูง ซึ่งสามารถจับตัวกับแคลเซียมในร่างกายและกลายเป็นแคลเซียมออกซาเลต ทำให้ลดการดูดซึมแคลเซียมได้
อย่างไรก็ตาม การเป็นตะคริวมักเกิดในผู้ที่ขาดแคลเซียมอยู่แล้ว คนทั่วไปแทบไม่พบปัญหานี้
เนื่องจากผักบุ้งมีกรดออกซาลิกค่อนข้างสูง หากไม่ลวกผ่านน้ำร้อนก่อนปรุง อาจเกิดปัญหาการย่อยยากหรือเสี่ยงนิ่วได้
ดังนั้นควรลวกผักบุ้งก่อนนำไปประกอบอาหาร เพื่อกำจัดกรดออกซาลิกได้มากกว่า 95% ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อการดูดซึมแคลเซียม และไม่ต้องกังวลเรื่องตะคริว
2. กินผักบุ้งทำให้เป็นโรคเกาต์?
สาเหตุของโรคเกาต์มาจากการเผาผลาญของร่างกายเป็นหลัก อาหารเป็นเพียงปัจจัยเสริม โดยเฉพาะอาหารที่มีพิวรีนสูงและการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะทำให้การขับกรดยูริกลดลง
ในความเป็นจริง ผักบุ้งมีพิวรีนเพียง 17.5 มก. ต่อ 100 กรัม จัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่มีพิวรีนต่ำ และเนื่องจากพิวรีนสามารถละลายในน้ำได้ การลวกก่อนกินจะช่วยลดปริมาณพิวรีนลงไปอีก
นอกจากนี้ ผักบุ้งยังไม่มีฟรุกโตสหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวรบกวนการขับกรดยูริก ดังนั้นความเชื่อที่ว่ากินผักบุ้งทำให้เป็นเกาต์จึงไม่มีหลักฐานรองรับ