วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2567) พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบด้วย ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะ รองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ พันตำรวจโทอนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และ ร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ ผู้อำนวยการกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ในฐานะคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษในสังกัดเดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมอยู่ทั้ง 18 คน และในฐานะผู้แทนนิติบุคคลอีก 1 ราย ในความผิดฐาน (1) “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (2) “ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น” และ (3) “ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต” อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากภายหลังที่รับสำนวนการสอบสวนมาดำเนินการแล้ว มีการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยพบพยานหลักฐานที่เข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายดังกล่าวและเห็นว่าพฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหาทั้งหมดมีการร่วมกันกระทำการในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ ประกอบด้วยทีมบริหาร แม่ทีมบรรยายชักชวนร่วมลงทุน และทีมผู้มีชื่อเสียงที่สร้างตัวตนให้เห็นถึงความร่ำรวยจากการประกอบธุรกิจ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวกับผู้ต้องหาทั้งหมด
หลังจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะให้โอกาสผู้ต้องหาทั้ง 19 คน (รวมนิติบุคคล) นำพยาน หลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย หากประสงค์ยื่นคำให้การเป็นเอกสารหรือยื่นพยานหลักฐานประกอบการแก้ข้อกล่าวหาให้รวบรวมหลักฐานให้แล้วเสร็จเสนอมายังคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษภายใน 15 วัน นับแต่รับทราบข้อกล่าวหาเพื่อพิจารณาต่อไป เว้นแต่มีเหตุอันมิอาจก้าวล่วงได้ กรณีที่อ้างพยานบุคคลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้สอบข้อเท็จจริงและจัดทำบัญชีพยานบุคคลโดยต้องระบุข้อมูลของพยานแต่ละคนเพื่อสำหรับทำบัญชีพยานและประเด็นที่จะใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วย ทั้งนี้ จะมีการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับทราบการแจ้งข้อกล่าวหาและติดตามผลการดำเนินคดีตามที่มีการมอบหมายงานไว้แล้วต่อไป