ต้องส่งกำลังใจให้นักร้องและนักแสดงสาว นุ๊ก สุทธิดา ที่ตรวจพบมะเร็งต่อมไทรอยด์ ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาตัวไปแล้ว ล่าสุดเธอตั้งใจจะไปรักษามะเร็งที่ รพ.มะเร็งสมัยใหม่แสตมฟอร์ดกว่างโจว ประเทศจีน ด้วยการฉีดแร่ แต่เมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่าก้อนมะเร็งใหญ่กว่าที่คิดไว้ และมี 3 ก้อน คุณหมอจึงเห็นว่าไม่ควรที่จะฉีดแร่ ทำให้เหลือการรักษาเพียง 2 ทาง
โดยล่าสุด นุ๊ก สุทธิดา ได้อัปเดตอาการป่วยของตัวเอง ระบุว่า แนวทางการรักษา ก็คือผ่าตัดเอามะเร็งไทรอยด์ออกเรียบร้อยแล้ว และจะมีมะเร็งที่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองประมาณ 10 กว่าจุด ซึ่งเอาออกไปได้เกือบหมด หลังจากนั้นก็เป็นการกลืนแร่ เหมือนกับให้คีโมค่ะ การกลืนแร่คุณหมอก็หวังว่าอาจจะทำให้มะเร็งหมดไป แต่ปรากฏว่ามันก็ยังไม่หมดไป หลังจากนั้นก็อยู่ในขั้นตอนการตรวจเลือดทุก 3 เดือน อัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือน ว่าที่เหลือมันโตขึ้นไหม มันโตขึ้นแค่ไหนในทุก 6 เดือน
แต่คุณหมอบอกว่าถ้าเราไม่สบายใจ คิดว่ามันใหญ่ขึ้น อยากจะผ่าก็ผ่าได้ ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่ายังไม่อยากผ่า ตอนนี้ก็ยังไม่อยากผ่า แต่ด้วยความที่มันมีทางเลือกแค่นี้ พอเรามาที่นี่ได้คุยมากขึ้น ทางโรงพยาบาลก็มีทางเลือกให้ 2-3 ทางเลือก แต่พอไปคุยจริงๆ แล้ว ได้ทำการตรวจอย่างละเอียดแล้ว เค้าก็ให้อยู่ 2 ช้อยส์ ก็คือผ่าตัดไปเลย ซึ่งเรายังไม่อยากเลือกทางนั้น กับอีกอันนึงคือการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด อีกอย่างมันช่วยทำให้เซลล์โดยรวมของเราแข็งแรงและไม่กลายไม่ขยายใหญ่ขึ้น มันเป็นการชะลอ
ตอนแรกคิดว่าจะไปฉีดแร่ได้ เลยคิดว่าสบายสบายๆ ไม่ต้องผ่าตัด แต่ทีนี้พอคุณหมอไปตรวจแล้วปรากฏว่าก้อนมันใหญ่กว่าที่คิดไว้ สองมันไม่ได้มีก้อนเดียว มันมี 3 ก้อน คุณหมอก็บอกว่ามันไม่ควรที่จะฉีดแร่ คือต้องบอกก่อนว่าวัฒนธรรมไทยกับจีนไม่เหมือนกัน ของไทยจะประเภทแบบไม่เป็นไรนะ คุณหมอจะพูดอ้อมๆ ไม่ค่อยให้รายละเอียดชัดเจนมาก เราจะไม่ค่อยรู้ detail อะไรเยอะ ส่วนมากคุณหมอจะให้กำลังใจ
แต่ที่จีนไปถึงวันแรกจะให้เวลากับเราเยอะมาก คุยละเอียดบอกว่าคุณรู้ไหมจากประวัติมีจุดเล็กๆ ที่ปอดด้วยนะ แล้วบอกว่าเวลาเป็นตรงนี้จะลามไปที่ปอดง่ายนะ ซึ่งมันดีนะคะ เราจะได้ดูแลตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้ก็คิดว่าโอเค เรียกว่าดีคนละแบบดีกว่า แต่ถามว่าวูบไหมมันก็วูบเหมือนกัน รอลุ้นพรุ่งนี้ว่าผลตรวจปอดจะเป็นยังไง
ก็อยากจะบอกทุกคนตรงนี้ว่าไม่ว่าจะป่วยหนักแค่ไหนมันเป็นปกตินะคะ คนเห็นนุ๊กแล้วคิดว่าเฮ้ย ทำไมนุ๊กดูไม่กลัว กลัวกันหมดทุกคนค่ะ และไม่แปลกที่จะกลัวด้วยค่ะ ให้มองว่าเป็นเรื่องปกติที่มีสิทธิ์ที่จะกลัวได้ แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะดีไซน์ชีวิตที่เหลืออยู่ วิธีการรักษาของเราไปในรูปแบบที่เราต้องการค่ะ
ตอนที่รู้เรื่องจุดที่ปอดตอนแรกก็วูบไปวันนึง พอตรวจพบคุณหมอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แสดงว่าไม่ได้มีอะไร ด้วยความที่ตอนนี้ถ่ายละครด้วย และกำลังจะทำธุรกิจ เรายังไม่ว่างที่จะถึงขั้นผ่าตัดคอ แล้วก็ใจด้วยแหละที่ยังไม่เตรียมใจนอนเตียงผ่าตัดอีกครั้ง แต่ถามว่าอยากจะเคลียร์ให้มันหายออกไปไหม แน่นอนมันก็มีความอยากค่ะ ไม่อยากอยู่ร่วมกับมะเร็งไปนานๆ หรอกค่ะ แต่เรายังไม่พร้อม อาจจะเป็นในเรื่องทางเลือกที่คุณหมอให้ฉีดเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งก็มีบางประเทศที่อนุญาตให้ฉีดตามกฎหมาย
คือด้วยความที่เซลล์ต้นกำเนิดช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน หลักๆ ก็จะเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกันที่จะทำให้เราไม่สรวนในแต่ละวันค่ะ มันทำให้เซลล์ของเราสมบูรณ์ไปด้วย พอเซลล์สมบูรณ์แข็งแรง มันก็ทำให้โอกาสการกลายพันธุ์น้อยลงค่ะ สำหรับคนที่ป่วย คุณหมอบอกว่าฉีดปีละครั้งก็ได้ แต่ถ้าคนที่ปกติหมายถึงว่าเซลล์เค้าอาจจะสมบูรณ์ ร่างกายแข็งแรงกว่า มันก็อาจจะ 2 ปีครั้ง บางคนคิดว่าฉีดแล้วโอเคแล้วก็ไม่ฉีดอีกก็ได้
ตอนนี้อยู่ในระยะไหน อันนี้เป็นสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถามหมอเลย เพราะว่าหมอไทยเนี่ย ตอนแรกถามคุณหมอว่าอยู่สเตทไหน คุณหมอบอกว่ามะเร็งไทรอยด์มันไม่เหมือนมะเร็งอื่นๆ ไม่ได้นับที่ขนาด แต่นับที่อายุ ต่อให้มีไซส์ที่เล็กแต่อายุเยอะก็ถือว่าเป็นสเตทลึก เราก็เลยรู้สึกว่า คำว่าแก่กับมะเร็ง คำว่าแก่เจ็บกว่า เลยไม่รู้ดีกว่า งั้นหมอไม่ต้องบอกนะคะเจ็บ แต่เขาก็พูดว่าลามไปเยอะค่ะ อย่างที่บอกว่านุ๊กเป็นมาหลายปี มันมีก้อนที่คอแต่เราไม่ได้ใส่ใจ เราละเลยตัวเองมากๆ ตอนต่อประกันเค้าก็ปฏิเสธ บอกว่าผลเลือดประหลาด แต่เราก็หาไม่เจอว่ามันเป็นอะไร
สามีกลับมาก็ถามเลย จากปกติไม่เคยถาม ก่อนบินเขายังหันมาถามว่าไปรักษาตัวเหรอ ยังมีมะเร็งที่ตัวอีกเหรอ เขาไม่เคยรู้หลังจากผ่านมา 3-4 ปี แล้วนี่ก็ไม่ได้พูดด้วย พอบินกลับมาเค้าคงรู้สึกผิด เค้าไม่เคยรู้มาก่อน เค้าเลยถามตั้งแต่วันแรกที่กลับมาว่า รักษาเป็นยังไงบ้าง
เพราะจริงๆ ก็เป็นตัวอย่าง เหมือนคุณพ่อนุ๊กต้องขอบอกว่าคุณพ่อก็เป็น เพิ่งตรวจเจอปีนี้ แล้วก็รักษา เขาไม่ยอมบอกนุ๊ก ว่าเค้าสเตทไหม ซึ่งก็โอเคเพราะว่าเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ตอนที่ให้คีโม เค้าป่วยน้อยมาก แข็งแรงมาก น้ำหนักลดไม่กี่ กก. ถ้าเทียบกับคนแก่อายุเท่าเขา ทุกคนจะล้มเดินไม่ได้ เค้าเดินได้ปกติ แต่อาจจะมีอาการระบบย่อย การทานอาหาร ระบบขับถ่าย ทานข้าวบางทีทานไม่ลงเพราะคีโมมันทำให้ทานข้าวไม่ลง แต่นุ๊กเชื่อว่าส่วนหนึ่งเค้าเห็นว่าไอ้นุ๊กยังรอดเลย ยังใช้ชีวิตปกติ เค้าเลยเหมือนใจสู้ โชคดีที่ลูกชิงเป็นก่อน เลยรู้สึกว่าเวลาเราสรวน เราไม่อยากให้ใครเห็น
กับคุณพ่อก็ไม่ได้ให้กำลังใจขนาดนั้น จะเน้นพาไปทานข้าว เค้าก็เหมือนลูกคะยั้นคะยอ ไม่อยากกินก็ต้องกินเป็นมารยาทเล็กๆ น้อยๆ ถามว่าเค้าเครียดไหม แรกๆเค้ากลัวนะนุ๊กว่า แต่พอเริ่มกระบวนการรักษา เริ่มทำใจได้ เค้าก็ปกติ คือนุ๊กกับเขาค่อนข้างคล้ายกันเลยคือปกติ เราไม่คุยเรื่องมะเร็งเป็นปัจจัยหลัก อยู่แบบลืมๆ ค่ะ อยู่แบบเหมือนไม่มีมันอยู่ด้วยซ้ำ แต่กระบวนการรักษาก็รักษาไปค่ะ คุณพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ค่ะ เค้าโชคดีมากที่ลูกสาวเป็นมะเร็งก่อน เค้าเลยรู้สึกว่ามีตัวอย่าง คือนุ๊กไม่เคยเครียดให้เค้าเห็น แม้แต่ที่บ้านก็ไม่เคย เราก็ใช้ชีวิตให้ปกติที่สุด อย่าไปคิดอะไรมาก
ก็เลยบอกเขาว่ายังไม่อยากพูดเรื่องมะเร็งตอนนี้คุยเรื่องอื่นได้ไหม เพราะไปอยู่โรงพยาบาล 3-4 วัน ได้ยินคำว่ามะเร็ง เยี่ยมผู้ป่วย เราก็รู้สึกเนอะ ต่อให้เราโอเค แต่พอเห็นเพื่อนร่วมทางของเราไม่ค่อยโอเค เราก็รู้สึก เราก็เลยบอกว่าอย่าพึ่งพูด ขอพักแป๊บนึง แล้วก็ทำงาน ไม่ค่อยอยากเล่าให้ใครฟัง เพราะยังรู้สึกตัวเองสรวนอยู่ ไม่อยากให้ใครเห็นสภาพตัวเองที่มันสรวนน่ะค่ะ
ผลข้างเคียงคุณหมอบอกว่าเหมือนกับว่าเราไปฉีดปุ๊บสามารถนั่งพักชั่วโมงนึงและเดินเล่นได้เลย โดยปกติทั่วไปค่ะ แต่ยังไม่ได้ฉีดค่ะ เพราะการฉีดตรงนี้มันต้องจองคิวอย่างน้อยสองวัน แต่ตอนนั้นเราไปแค่สามวัน ต้องวางแผนการรักษา มันสรวน มันผิดพลาด เพราะตอนแรกไปวางแผนอีกแบบนึง ก็รักษาตัวมาตั้งแต่ช่วงโควิดค่ะ ก็เกือบ 4 ปีแล้ว
ส่วนเรื่องผ่าตัดนี่น่าจะอยู่ที่ใจเราก่อนค่ะ คือนุ๊กคุยกับแหม่ม วิชุดา ว่าอยากเป็นแหม่ม บินไปเกาหลีแล้ววางยาสลบขึ้นเตียงผ่าตัดทำได้ในเวลา 5 นาที แหม่มตัดสินใจเลย นุ๊กเคยอยู่กับเขาในตอนนั้น เก่งมากอ่ะ นุ๊กรู้สึกว่าการดมยามันเรื่องใหญ่ นุ๊กมีความเชื่อว่าเราตายไปครึ่งหนึ่งแล้วเวลาอยู่ในห้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นคลอดลูก เท่ากับเราตายไปครึ่งนึงแล้ว เราเลยรู้สึกว่ายังไม่พร้อม อีกอย่างก็มีธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มทำ ตอนนี้เลยคิดว่าอยากจะไปฉีดสเต็มเซลล์ก่อน ถ้าคุณพ่อไปได้ก็อยากจะชวนคุณพ่อไปด้วย
คือด้วยความที่เรายังห่วงลูก ห่วงเรื่องงาน และการผ่าตัดกว่าจะพักฟื้นเอฟเฟกต์มันก็เยอะ มันเหมือนมีอาการออฟฟิศซินโดรมมาร่วมด้วย เพราะพังผืดมันก็จะเกาะ กว่าจะยืดคอก็มึนหัวอีก มันเป็นช่วงที่ทำงานยากมาก แต่คิดว่าพอจบละคร 2 เรื่อง และลุยธุรกิจส่วนตัวแล้ว น่าจะไปอยู่ในช่วงของการดูแลตัวเองค่ะ
ส่วนลูกๆ นุ๊กว่าลึกๆ เขาก็กลัวแหละค่ะ แต่เด็กผู้ชายจะมีความแบบแม่ไม่เป็นอะไรหรอก แม่ตายยาก ลึกๆ ก็รู้ว่ากลัวนะ ก็ดูเศร้าๆ ไป แต่หลังจากที่เขาเห็นเราใช้ชีวิต แม่ก็ดูปกติ คงไม่เป็นไรหรอก น่าจะไม่ได้เครียดอะไร เขาก็ไม่ได้เครียดตามเรา เราก็ไม่อยากให้เครียด อย่างลูกคนโต 2 คน จะบอกว่าแม่ตายยาก แม่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ แต่คนเล็ก เราก็กลัวว่าด้วยสภาพมะเร็ง เราคงอยู่จนเขาเรียนจบมั้ง แต่ก็ก็คงน้อยไป ถ้าเขาเข้าช่วงวัยรุ่น เราจะได้อยู่ไหม เรากลัวสภาพจิตใจเขามากกว่า เราก็เอาหนังสือมาให้เค้าอ่าน มีอยู่วันนึงเค้าบอกว่าเค้าอ่านจบแล้วนะ ตอนจบแม่เค้าตายนี่ ทำไมยูเอาหนังสือนี้ให้ไออ่าน เราก็ก็จะบอกเขาว่าเพราะไอกลัวว่าถ้าไอตาย ยูจะอยู่ไม่ได้ เค้าก็อ๋อเหรอ แต่ยูต้องอยู่ให้ได้นะ จะคุยกันเล่นๆ แบบนี้ค่ะ
ถ้าอย่างอื่นเฉยๆ ค่ะ รู้สึกว่าใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่งแล้ว หลังหลังเริ่มแต่งตัวหรือทำอะไรที่อยากจะทำจริงๆ มากขึ้น เมื่อก่อนเราต้องอิงกับละคร ไว้ผมยาวเพื่อเล่นเป็นแม่ เดี๋ยวนี้ตัดผมผมสั้นใส่วิก โค้งสุดท้ายเราต้องเริ่มเคาท์ดาวน์ตัวเอง เราต้องใช้ชีวิตแบบที่เป็นเรา ไม่ใช่แม่ของลูก ไม่ใช่คนในละครมากจนเกินไปค่ะ
นุ๊กว่าทุกคนมีความรู้สึกว่าทุกคนต้องตาย แต่เชื่อไหมมันไม่มีใครฟีลคำพูดนี้ได้เท่าคนที่เห็นความตายตรงปลายจมูก เราผ่านการรอฟังผลแล้วเหงื่อแตกทุกรูขุมขน ใจฟังแล้วมันแวบ มันผ่านมาแล้ว เลยทำให้เรารู้ว่าจริงๆ ไม่ใช่แค่เราคนเดียว ชีวิตทุกคนเกิดมามันก็เคาท์ดาวน์ทันที ว่าเราจะไปเมื่อไหร่ มันถึงมีเรื่องของศาสนาเข้ามายึดเหนี่ยวจิตใจ ทำในสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ”