กรณี พรรคเพื่อไทย เลือกส่ง นายชัยเกษม นิติสิริ ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่31 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ล่าสุด นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้เผยผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ เพจ “Jatuporn Prompan – จตุพร พรหมพันธุ์” โดยกังขาว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลถูกเรียกไปบ้านจันทร์ส่องหล้าของนักโทษทักษิณ ชินวัตร เพื่อประชุมการตั้งรัฐบาลให้นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ เป็นความเหมาะสมและทำให้บ้านเมืองสง่างามหรือไม่“วันนี้ (เจ้าของบ้านจันทร์ส่องหล้า) ออกฤทธิ์ออกเดชมากที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น คนที่ทำหน้าที่ดีล (ให้กลับประเทศไทย) ต้องทบทวนตัวเองเช่นกันว่า จะปล่อยบ้านเมืองกันในสภาพแบบนี้เหรอ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ความเสียหายรออยู่ข้างหน้า”
อีกทั้งกล่าวถึงผลการตัดสินของศาล รธน.ว่า ยิ่งใกล้วันศาล รธน.วินิจฉัยคดีถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นนายกฯ หรือไม่ นักการเมือง นักวิเคราะห์มีความเชื่ออธิบายผ่านความรู้สึก โดยมั่นใจนายเศรษฐา จะรอด เพราะส่วนสำคัญไม่ต้องการให้ใช้อำนาจยุบสภา กระทั่งศาลมีมติ 5 ต่อ 4 เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ถอดถอนพ้นนายกฯ จึงเกิดปรากฎการณ์นักโทษเรียกแกนนำพรรคร่วมไปประชุมตั้งรัฐบาลใหม่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าตามมาทันที
นายจตุพร ย้ำและไม่เชื่อเด็ดขาดว่า ที่ผ่านมานายเศรษฐา เป็นนายกฯ ที่มีอำนาจแต่งตั้งคณะ รมต.โควต้าพรรคเพื่อไทย แต่กลับต้องมารับผิดชอบการกระทำเพราะเป็นผู้เสนอโปรดเกล้าฯ และรับสนองพระบรมราชโองการ จึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ดังนั้น หลังถูกศาล รธน. ถอดถอนแล้ว นายเศรษฐา หลุดลอยจากความสนใจของสังคมและสื่อมวลชน โดยเป้าหมายใหม่ต้องติดตามอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าและนายชัยเกษม แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ที่ถูกเจ้าของบ้านเรียกผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลไปประชุมให้สนับสนุนขึ้นเป็นนายกฯ คนใหม่ คนที่ 31 ทั้งๆ ที่มีปัญหาสุขภาพที่จำกัดและไม่เอื้ออำนวยให้ทำงานหนักได้
นายจตุพร ถามว่า ทำไมต้องเอานายชัยเกษม อดีตอัยการสูงสุด ขึ้นมาเป็นนากฯ คนใหม่ ทั้งๆ ที่ มีเรื่องราวการทำงานในอดีตและเกี่ยวข้องกับคดีที่นายเศรษฐา พ้นไปด้วยไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม เพราะมีเหตุเพียงแค่ไม่กล้าให้อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและลูกสาวของตัวเองขึ้นเป็นนายกฯ
“ถ้าอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ ผมเชื่อว่า แม่คงไม่ยอมให้มาเป็นตัวเร่งสถานการณ์ ซึ่งแตกต่างจากนายเศรษฐา แม้ไม่มีคนรัก แต่ก็ไม่มีคนเกลียดเข้าไส้ ราวกับเป็นคนไร้ตัวตน สังคมไม่มีความรู้สึกผูกพันดเสียดาย หากเป็นอุ๊งอิ๊ง เธอมีบุคลิกพิเศษที่เรียกความชิงชังได้เร็วมาก”
พร้อมยกตัวอย่างการพูดทางการเมืองในอดีตว่า อุ๊งอิ๊งปราศรัยหาเสียงบนเวทีต่างๆ แสดงออกทั้งตัวกับสัญญาประชาชน โดยเน้นปิดสวิตซ์ 3 ป. และ สว. พร้อมให้ดูหน้าจดจำเป็นสิ่งรับประกันคำพูดทางการเมืองไว้ว่า ที่พูดเป็นความจริง
แต่ที่สุดผลลัพธ์ออกมาเป็นตรงกันข้าม จึงทำให้อารมณ์คนไทยหมั่นไส้ สิ่งนี้ย่อมเป็นตัวเร่งสถานการณ์ที่เร็วมาก
นายจตุพร กล่าวว่า ยิ่งอุ๊งอิ๊งมาเป็นนายกฯ แล้วผลักดันดิจิทัลวอลเล็ต สานงานขายคอนโดฯ ให้ต่างชาติ 99 ปี และหนุนให้เกิดบ่อนคาสิโนต่อ แล้วยังดันโครงการแลนด์บริดจ์ต่อด้วย จึงไม่เป็นผลดีต่อการทำงานทางการเมืองแน่นอน สิ่งนี้คงทำให้ทักษิณ ผู้เป็นพ่อคงไม่กล้าส่งมาเป็นนายกฯ มาเป็นตัวเร่งสถานการณ์ความหมั่นไส้ ดังนั้น ให้นายชัยเกษม เป็นนายกฯ ย่อมดีกว่าให้ลูกสาวมาเสี่ยงติดคุก
“ถึงวันนี้ ผมไม่รู้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคิดอย่างไร แต่สมควรหรือไม่กับนักโทษที่อยู่ระหว่างพักโทษและต้องคดี ม.112 เรียกบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ไปคุยในบ้านได้ เราจะตั้งรัฐบาลกับคนเลี้ยงหลานแบบนี้เหรอ เอากันแบบนี้เหรอ ถามกันจริงๆ เพราะพรรคการเมืองบุคคลภายนอกเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ แต่คนนี้ใหญ่กว่าทุกพรรค สื่อถ่ายภาพหน้าบ้านจันทร์ส่องหล้ามายืนยันเต็มไปหมดแล้ว”
อีกทั้งกล่าวว่า คนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตในคดีทุจริต ศาลอาญาตัดสินลงโทษ 12 ปี นับพร้อมเหลือ 8 ปี และได้รับอภัยลดโทษติดคุก 1 ปี แต่ไม่ย่อมเข้าคุกสักวัน ซึ่งรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชัดเจนว่า มีสองหน่วยงานเอื้อประโยชน์ไม่ให้ติดคุก
นายจตุพร ย้ำว่า นักโทษสั่งให้แกนนำพรรคร่วมไปประชุมบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อสนับสนุนให้นายชัยเกษม คนที่เมื่อครั้งเป็นอดีตอัยการสูงสุดเคยสั่งไม่ฟ้องทักษิณ ในคดีสำคัญมาแล้ว แล้วการตั้งรัฐบาลเช่นนี้ยังไปจัดที่บ้านจันทร์ส่องหล้าได้อย่างไรกัน ทั้งที่เจ้าของบ้านขออนุญาตไปต่างประเทศศาลอาญายังไม่อนุญาตเลย
“อยากให้สังคมไทยตั้งสติว่า บ้านเมืองจะเดินไปได้อย่างไร เมื่อชัยเกษม มาก็ต้องเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตต่อ เอาบ่อนต่อ เอาคอนโด 99 ปี 75% ต่อ เอาแลนด์บริดจ์ให้เช่าที่ดิน 3 แสนไร่ 99 ปีต่อ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการหาเสียงมาเลย ถ้าอ้างว่านโยบายหาเสียงแล้วคงได้ไม่กี่คะแนนเสียงแน่”
ถ้าพรรคอื่นเป็นนายกฯ คงให้ยกเลิกดิจิทัลวอลเล็ต แล้วแจกเป็นเงินสดแทนกระแสนิยมทางการเมืองจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น พรรคเพื่อไทยควรทบทวนการหาเสียงทางการเมืองว่า สัญญากับประชาชนไว้อย่างไร ไม่ร่วมกับใครแล้วสุดท้ายมาตระบัดสัตย์ เมื่อเริ่มโกหกจึงต้องตระบัดสัตย์กันต่อไป แล้วไม่มีผลงานที่เพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ซ้ำร้ายคนกันเองยังทำร้ายนายเศรษฐา ในทางการเมือง จนต้องพ้นจากนายกฯ ด้วย