ซึ่งตนมาทราบในภายหลังว่าทนายคนดังกล่าวมีการแนะนำวิธีแนวทางสำหรับคดีดังกล่าวว่า จะต้องมีคนผิดในเรื่องนี้ ซึ่งไม่อิงตามข้อเท็จจริง แต่กลับชี้นำว่าต้องโยนไปให้คนใดคนหนึ่ง ซึ่งคนนั้นก็คือตน ที่อยู่ท้ายเรือ
นายวิศาพัช กล่าวต่อว่า ทางนายตนุภัทรและนายไพบูลย์จึงตัดสินใจไม่ให้ทนายคนดังกล่าวทำคดีนี้ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะ เมื่อทนายกลับไปหลังจากที่คุยกัน ก็มีการไปโพสต์เฟสบุ๊กว่า ไม่รับทำคดีให้คนบนเรือ แต่ข้อเท็จจริงคือคนบนเรือไม่ได้ให้ทนายคนดังกล่าวทำคดี และทนายก็ได้ไปทำคดีให้กับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคนบนเรือทั้งหมด และยังมีการพูดให้ประชาชนคอยติดตามในเรื่องที่ทนายแต่งขึ้นมา เพื่อกระแสสังคมจะได้เอนเอียงไปทางทนายเพื่อผลประโยชน์ ทำให้ไม่มีผลดีต่อพวกตน ทั้งนี้พวกตนมีข้อมูลหลักฐานขณะพูดทนายพูดคุยเสนอแนะวิธีดังกล่าว และพวกตนก็เคยให้การเรื่องนี้กับทางตำรวจไปแล้ว ซึ่งก็อยู่ในสำนวนคดีทั้งหมด
“ตนรู้สึกว่าทำแบบนี้ก็ได้หรือ เป็นทนายควรต้องทำคดีไปตามหลักหลักฐานข้อเท็จจริง ไม่ใช่ทำแบบนี้ง่ายกว่า จบง่ายกว่า มีทนายแบบนี้ด้วยหรือ”
นายวิศาพัช กล่าว
เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับคนบนเรือหรือไม่ หลังจากมีกระแสข่าวออกมาแบบนี้ นายวิศาพัช ไม่ได้ตอบคำถามเพียงแต่กล่าวว่า
“ในที่สุดความยุติธรรมก็มีอยู่บนโลกนี้จริงๆ คนทำดีได้ดี คนทำชั่วจะได้อะไร”
ส่วนตกใจหรือไม่กับการ ที่ทนายดังถูกกล่าวหา นายวิศาพัช กล่าวว่า ไม่ตกใจเพราะคนเราทำอะไรก็ได้รับผลแบบนั้น เพราะหากทนายคนดังกล่าวทำดีก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ในสิ่งที่เขาถูกกล่าวหา เช่นเดียวกับตอนนั้นที่ตนถูกกล่าวหา ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่เคยกลัว เพราะตนก็ไม่ได้ทำอะไรผิด
เมื่อถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าทนายดังกล่าวได้รับเงินมา 71 ล้านบาท จริง นายวิศาพัช ระบุว่า “พี่ว่าเขาน่าเสน่หาขนาดนั้นหรือไม่ แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องของตน จึงไม่อยากก้าวล่วง”
ทั้งนี้ยอมรับว่าตนโกรธในเรื่องที่เคยถูกกระทำ โดยตนออกมาพูดในวันนี้ นับว่าเป็นการร่วมจองกฐินทนายคนดังกล่าว เนื่องจากช่วงนี้ทนายคนนี้มีเรื่องเข้ามาเยอะ อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้มีคนฟังสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนมากขึ้น เพราะในวันนั้นออกมาเล่าอย่างไร ก็ไม่มีใครสนใจและไม่มีใครเชื่อ